โรค SLE คืออะไร
โรค SLE (มีชื่อเรียกอื่นว่า โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ โรคพุ่มพวง) นับว่าเป็นโรคแปลกประหลาดโรคหนึ่ง เนื่องจากผู้ป่วยมีโอกาสเกิดความผิดปกติขึ้นได้กับทุกๆ ระบบและทุกๆ อวัยวะของร่างกาย SLE เป็นได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบในช่วงอายุ 20-45 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 10 เท่า โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย
จะสังเกตอาการด้วยตนเองอย่างไร
- มีผื่นหรือฝ้าแดงขึ้นที่ข้างจมูกทั้งสองข้างเหมือนปีกผีเสื้อ
- แพ้แสงแดด มีแผลในช่องปากและเพดานปาก
- ผมร่วง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ชัก เกร็ง อ่อนแรง มีไข้ อ่อนเพลีย
- ปัสสาวะเป็นฟอง
- มีผื่นดำคล้ายแผลเป็นตามใบหู รูหู หนังศีรษะและบริเวณศอก
- อาจมีอาการบวมๆ ยุบๆ ตามหนังตา ขา เท้าหรือมือ
- ข้อบวม ปวดข้อ
- เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ โลหิตจาง
- ตรวจพบผลบวกของซิฟิลิสในเลือด
- มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
- อาจมีอาการเจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าลึกๆ
สาเหตุ SLE ในทัศนะการแพทย์จีน
การแพทย์จีนได้จัดโรค SLE ให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เกิดจากเส้นลมปราณติดขัด (痹病) ภาวะพิษเย็น-ชื้นที่สะสมในร่างกายมากเกินไป พลังลมปราณและระบบการไหลเวียนของเลือดที่สมบูรณ์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ถ้าหากเส้นลมปราณ หลอดเลือดหรือกล้ามเนื้อถูกทำลายจากพิษเย็น-ชื้นที่สะสม ก็จะส่งผลให้พลังลมปราณและเลือดไหลเวียนช้าลง จนเกิดการคั่ง นานวันเข้าร่างกายไม่สามารถปรับตัวรองรับได้อีก ระบบต่างๆ ของร่างกายจึงเกิดความแปรปรวน พร้อมทั้งแสดงอาการผิดปกติตามระบบต่างๆ นอกจากนี้ พิษร้อนจากแสงแดดที่แทรกเข้าไปทำลายสารน้ำต่างๆ ในร่างกายและระบบการไหลเวียนของเลือด ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่จะทำให้เป็น SLE ได้เช่นกัน
วิธีบำบัดของการแพทย์จีน
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ยาเคมีที่ใช้ควบคุมอาการ SLE ไม่ว่าจะเป็นยาสเตอรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน ต่างก็มีข้อจำกัดและผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยในหลายๆ ด้าน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การแพทย์จีนจึงนิยมหันมาใช้วิธีการบำบัดที่ต้นเหตุ ฟื้นฟูโดยองค์รวม
- ปรับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน
- ขจัดพิษเย็น-ชื้นที่สะสมในร่างกาย
จากการวิจัยทดลองทางการแพทย์และเภสัชวิทยาในปัจจุบันพบว่า ยาสมุนไพรจีนที่อยู่ในรูปแบบของสารสกัดเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากสามารถสกัดและควบคุมสารออกฤทธิ์ได้อย่างเข้มข้นและแม่นยำ
อาการปวดข้อ ผื่นแดง แผลในปาก ผมร่วง นิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใจสั่น ต่อมน้ำเหลืองโต อาการบวมตามร่างกาย อาการทางจิตและอาการอื่นๆ ในผู้ป่วย SLE จึงค่อยๆ ทุเลาลง โรค SLE ซึ่งถือว่าเป็นโรคร้ายแรงในสายตาของผู้ป่วย จึงไม่น่ากลัวอีกต่อไป